03 ตุลาคม 2563

สรุป แถลงข่าวน้องชมพู่ มีคนพาขึ้นภูเหล็กไฟ-คาดตายจากขาดอาหาร-คนทำคือคนใกล้ตัว


        ผบ.ตร. แถลงข่าวน้องชมพู่ ยันน้องไม่ได้เสียชีวิตเอง แต่มีคนพาน้องขึ้นภูเหล็กไฟ มีการทำลายน้ำหนักพยาน ด้านลุงพล ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะยังไม่ได้ตั้งข้อหาใคร แต่คนร้ายคือคนที่น้องชมพู่ไว้ใจให้อุ้ม ขู่คนร้ายขอให้นอนเครียดต่อไป


นที่ 2 ตุลาคม 2563 พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ ได้นัดแถลง คดีน้องชมพู่ ที่เสียชีวิตอย่างปริศนาที่ภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก จ.มุกดาหาร ซึ่งผ่านมากว่า 4 เดือน ยังไม่มีความชัดเจน โดยในงานแถลง ลุงพล นายไชย์พล วิภา ผู้ต้องสงสัยในคดี และป้าแต๋น ภรรยา ได้เดินทางมาพร้อมทนายเพื่อรับฟังการแถลงข่าวด้วย แต่พ่อและแม่ของน้องชมพู่ ไม่ได้เดินทางมา


ยืนยันว่าไม่ใช่การปิดคดี แต่เป็นการแถลงความคืบหน้า จากการสืบสวน สัมภาษณ์ 384 ปาก สอบปากคำเข้าสำนวน 124 ปาก สอบผู้เชี่ยวชาญ 13 ปาก หลักฐาน 113 ชิ้น เก็บดีเอ็นเอ 154 พยาน โดยสำนวนมี 918 หน้า สรุปสำนวนแล้ว ยืนยันว่า น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปได้เอง

 


เปิดเหตุผล 8 ข้อ ที่น้องชมพู่ไม่ได้ขึ้นภูเหล็กไฟเอง แต่มีคนพาขึ้นไป

1. เส้นทางยากลำบากเกินความสามารถ จากเส้นทางที่เดินเท้าไปได้จนถึงจุดพบศพ มี 4 เส้นทาง มีเนินหินชันเกิน 60 องศา ทุกเส้นทาง ซึ่งปกติแล้ว น้องชมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นได้แม้แต่บันไดบ้านที่ลาดชัน 45 องศา


2. พลังงานไม่เพียงพอ นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญ มีความเห็นว่า อาหารเช้ามื้อสุดท้ายที่น้องกิน คือ ไข่เจียว 3 คำ กับน้ำส้ม 1 ขวด ไม่สามารถให้พลังงานเพียงพอสำหรับการเดินขึ้นไปบนจุดพบศพเองได้


3. ประสบการณ์ชาวบ้าน ให้การสอดคล้องว่า เด็ก 3 ขวบ เดินขึ้นไปเองไม่ได้ หากหลงทางอาจจะปีนได้แค่ชั้น 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น


4. กรณีศึกษา จากการหายไปของนางทิน เชื้อคมตา ที่พลัดหลง ถือเป็น 2 เท่าของกรณีน้องชมพู่ ชาวบ้านยังสามารถหาเจอได้ภายในคืนเดียว


5. ผู้ชำนาญการอย่าง แพทย์นิติเวช เดินสำรวจ มีความเห็นว่า เด็ก 3 ขวบ ไม่สามารถเดินไปเองได้ กุมารแพทย์ ให้ความเห็นว่า เด็ก 3 ขวบ หากเดินห่างไป 200 เมตร น่าจะยังไม่หลงทาง เพราะยังเห็นตัวบ้านได้ และพัฒนาการของเด็กไม่สามารถเดินไปจุดพบศพได้


6. สภาพศพที่พบ เป็นสภาพเปลือยกาย พ่อแม่ยืนยันว่า น้องไม่สามารถถอดเสื้อเองได้


7. พยานพลักฐานในที่เกิดเหตุ พบเส้นผม 36 เส้น ตกอยู่ข้างศพ จากการตรวจพบว่าเป็นผมของน้อง เกิดจากการตัด เฉือน น่าจะมาจากบุคคลอื่น เพราะน้องตัดผมเองไม่ได้


8. นิสัยของน้องชมพู่ กลัวที่สูง ที่มืด ป่า สวนยาง ไม่เคยไปเล่นไกลบ้านหรือในป่าเลยสักครั้ง พ่อแม่ก็ไม่เคยพาขึ้นไปเลย จึงเชื่อได้ว่ามีผู้พาขึ้นไปจนทำให้น้องถึงแก่ความตายไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม



ตั้งข้อหา กักขังหน่วงเหนี่ยว พรากเด็ก แต่ยังเอาผิดกับคนก่อเหตุไม่ได้

สรุปคดีนี้ เป็นการตั้งข้อหาคือ พรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยวจนเสียชีวิต และเคลื่อนย้ายทำลายศพ แต่ยังไม่มีหลักฐานพอจะดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุได้ แต่เดิมวางแผนไว้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ตอนนี้ต้องทำเพิ่มเติมในบางส่วนจึงยังไม่ยุติ


คดีนี้มีอายุความ 20 ปี แม้ตามระเบียบตำรวจถ้าไม่สามารถดำเนินคดีกับใครใน 1 ปี ต้องส่งสำนวนให้อัยการ ถ้ามีพยานหลักฐานที่จะเอาผิดได้ก็ยังมีอายุความ การสืบสวนก็จะทำไปเท่าที่พยายามทำได้


ขอให้มั่นใจถึงแม้จะตอบคำถามไม่ได้ว่าใครคือคนร้าย แต่ยืนยันว่าจะไม่ละเลิกความพยายามภายใต้หลักทำตามกฎกติกา


ตำรวจตอบ กรณีลุงพลเป็นจำเลยสังคมนั้น แถลงไม่ได้ว่าเป็นคนทำหรือไม่

ตำรวจเชื่อว่าน้องไม่ได้เดินขึ้นไปเอง อาจถูกบางคนพาขึ้นไปทางตรงหรือทางอ้อม ผู้นั้นต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ไม่สามารถแถลงได้ว่าสงสัยหรือไม่สงสัยใคร ส่วนที่ว่า (ลุงพล) เป็นจำเลยสังคม ต้องถามว่าใครเป็นผู้มอบตำแหน่งนั้นให้ ทางตำรวจจึงตอบไม่ได้


กรณีเสียชีวิตก่อนหรือหลังขึ้นเขา ต้องอธิบายว่า ต้องถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ



สรุปผลการสืบสวน เวลาเกิดเหตุ-เวลาเสียชีวิต-สาเหตุเสียชีวิต

1. เวลาที่เกิดเหตุ 09.11-09.45 น. อ้างอิงจากเวลาที่น้องดูคลิปในยูทูบ ต่อมาพี่สาวใช้เฟซบุ๊กเป็นเวลาสุดท้าย ก่อนจะพบว่าน้องหายตัวไป


2. เวลาที่น้องเสียชีวิต แพทย์ผู้ชันสูตรประเมินว่า อวัยวะภายในเริ่มเน่า มีหนอนขนาด 1 เซนติเมตร น่าจะเสียชีวิตวันที่ 12 พฤษภาคม เวลา 14.30 น. - 13 พฤษภาคม เวลา 14.30 น. ส่วนการสอบปากคำผู้เชี่ยวชาญด้านหนอนและแมลง พบว่า หนอนที่พบในศพในวันที่แพทย์ชันสูตร วันที่ 15 พฤษภาคม เป็นหนอนระยะสุดท้าย คาดว่าน้องเสียชีวิตมาแล้ว 3 วัน นับย้อนไปคือวันที่ 12 พฤษภาคม และจากการทดลองพบว่าจุดพบศพจะมีการเน่าเร็วกว่าด้านล่าง จากการวิเคราะห์ไข่แมลงวัน พบว่าน้องน่าจะเสียชีวิตในช่วงเช้าหรือบ่ายวันที่ 12 พฤษภาคม


3. สาเหตุการเสียชีวิต จากการสำรวจร่างกาย พบว่ามีบาดแผลหลายชนิด แต่ไม่พบบาดแผลใดที่ทำอันตรายถึงชีวิต ไม่พบร่องรอยการละเมิดทางเพศ แพทย์จึงไม่สามารถระบุสาเหตุได้เพราะศพเน่า แต่มีความเป็นไปได้สูงจากการขาดน้ำ ขาดอาหาร เพราะสภาพผิวหนัง และสภาพไม่พบอาหารในกระเพาะ ส่วนของเหลว 10 cc. ในกระเพาะ มาจากการเน่าของศพ จึงไม่ยืนยันว่าของเหลวนั้นคืออาหาร


4. คนก่อเหตุ คนที่จะก่อเหตุวันที่เด็กหาย ผู้ก่อเหตุก็ควรจะอยู่ตรงนั้น ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ จากการคุยกับพ่อแม่และญาติ ยืนยันว่า ปกติน้องไม่ให้ใครอุ้ม ไม่ไปไหนกับคนแปลกหน้า ถ้าเชื่อเรื่องนี้ก็ต้องดูว่าใครเข้าถึงตัวได้โดยที่น้องไม่ต่อต้าน ถ้าไม่ใช่แบบนี้ก็จะถูกบังคับไป


คนที่ก่อเหตุเชื่อได้ว่าต้องรู้จักภูเขานั้น หรือต้องเคยเดิน เพราะตำแหน่งที่เดินนั้นไม่ค่อยมีใครไปเดิน ส่วนแรงจูงใจตอนแรกไม่สามารถรู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แรงจูงใจทางเพศ หรือเหตุผลอื่น ๆ ซึ่งหากเพิ่มจากการสอบปากคำ เพื่อหาเหตุผลอื่น ๆ เช่น ความขัดแย้ง หรือไม่ใช่เลย


จากการพูดคุยกับคนในหมู่บ้านกกกอก ลามไปหมู่บ้านใกล้เคียง ยอมรับว่ามีข้อสงสัย และมีความสงสัยใครเป็นพิเศษ แต่พูดไม่ได้ คดีนี้การสืบสวน 4 เดือนนั้นถือว่าไม่นาน หลายคดีมีความยากแตกต่างกัน คดีนี้มีความยากเพราะมีกระแสต่าง ๆ อาจจะถูกสร้างหรือเกิดขึ้นเอง ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานยาก



พยานหลักฐาน

ได้มีการสอบ 384 ปาก นำเข้าสำนวน 120 ปาก สอบผู้เชี่ยวชาญ 13 ปาก ตรวจดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัย 154 ตัวอย่าง ได้ทราบข้อมูลที่แน่ชัดหลายประการ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนหลักฐานสำคัญมี 113 ชิ้น หลักฐานบนที่เกิดเหตุ 16 ชิ้น ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยตรวจสอบหลักฐานผ่านอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งในเอเชีย-แปซิฟิก มีอยู่แค่ 2 เครื่อง ในไทยและสิงคโปร์ ผลการตรวจสอบไม่สามารถเปิดเผยได้ ได้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ เมื่อพยานหลักฐานสมบูรณ์เมื่อไร จะสามารถดำเนินคดีได้ทันที


หลักฐานทางนิติเวช มี 257 รายการ มีการตรวจดีเอ็นเอแบบพิเศษจากเส้นผมที่ไม่พบรากผม ตรวจหาในสายมารดา จะพบแค่ฝั่งเพศหญิงเท่านั้น


กรณีลุงพล

คดีนี้ไม่มีการตั้งข้อหาใคร ก็นับว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ กรณีนี้ไม่อยากโทษสื่อ เพราะก็มีผู้เสพที่ติดตามเยอะ อยากฝากคนดูต้องดูให้ละเอียด กรณีการฟังคนที่เล่า เขาก็จะอธิบายแค่เพียงส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเอามาเรียงต่อกันก็จะได้ความจริงอีกแบบหนึ่ง



ความยากของคดีนี้

นิติวิทยาศาสตร์ช่วยได้ไม่มาก อีกเรื่องคือมีการทำลายน้ำหนักพยาน เช่น วันที่ 1 มีพยานมาให้การ แต่ต่อมามีคนไปถามว่าพยานไปพูดตรงกับที่พูดกับตำรวจหรือไม่ บางครั้งเขาอาจรู้สึกกดดัน อาจจะพูดตรงกันหรือไม่ตรงกัน ถามว่าพยานปากนี้ฟังได้หรือไม่ แต่ตำรวจไม่ได้ฟังแค่ว่าพยานพูดว่าอะไร ไม่ได้ฟังแค่คนคนเดียว ต้องดูพยานหลาย ๆ ปากว่าพูดตรงกันหรือไม่ มีพยานหลักฐานสอดคล้องกันหรือไม่


กรณีว่ามีขบวนการหรือไม่

เป็นเรื่องของกระแส มีผู้เสพ ก็มีผู้ขาย มองว่าเป็นเรื่องใหม่ของสังคม ส่วนคำถามว่าคนทำลายน้ำหนักพยานจะเกี่ยวข้องกับคนร้าย หรือมีผู้ก่อเหตุคนเดียวหรือหลายคน ยังไม่ขอตอบ เพราะคดีนี้ยังไม่ได้ตั้งข้อหาใคร แต่การตายจะจงใจหรือไม่จงใจก็ต้องมีผู้รับผิดชอบเรื่องนี้


กรณีนี้มีการประกาศจับคนร้าย

ไม่กลัวกระแสต่อต้าน ยืนยันว่าการทำงานต้องการให้ประชาชนเชื่อมั่น การจับใคร หลักฐานต้องแน่น จะต้องมั่นใจว่าศาลจะลงโทษได้ ขอให้คนร้ายที่ฟังอยู่นอนเครียดต่อไป เพราะตำรวจยังไม่เลิกสืบสวน ยืนยันว่าไม่แขวนคดี ต้องหาว่าจะทำอะไรต่อได้อีก 




 

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก :  hilight.kapook,ข่าวช่องวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สถานะยืนยันตัวตน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขึ้นข้อความแบบไหน ได้สิทธิชัวร์

      ตรวจสอบสถานะ ยืนยันตัวตนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านเว็บไซต์ด้วยตนเอง หากได้รับข้อความแบบไหนถึงจะรูผลว่าผ่านและรอรับเงินเข้าบัตรประจำตัวป...